ทำไมการไม่ Productive คืออะไรที่ Productive ที่สุด l Robowealth Work EP.2

ทำไมการไม่ Productive คืออะไรที่ Productive ที่สุด l Robowealth Work EP.2

Robowealth Work EP. 2 ชวนคุยเรื่องของกระแสของการ Productive ที่มาแรงมากๆ ก่อนหน้านี้ ว่าเป็นมายังไง ต้องบอกตามตรงว่า คนทำงานยุคนี้เป็นยุคของการแข่งขันที่สูงและมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ใครๆ ก็จำเป็นต้องแข่งขันเพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่ทันคนอื่นเขา ทำใ้ห้ต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา แต่คนเราดันมีเวลาจำกัดกันคนละ 24 ชม.เท่านั้น เลยกลายเป็นแนวคิดที่ว่า เวลาทุกนาทีมีค่า ต้องใช้อย่างคุ้มค่า ต้อง Productive ตั้งแต่ตื่นนอนยันนอน ขอยกตัวอย่างไอเดียของคนที่ Productive มาก ๆ (ช่วงนี้ Work From Home ก็อาจจะเปลี่ยนบ้างตอนเดินทางเป็นทำงาน แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดต้องใช้เวลาให้เกิดคุณค่าสูงสุด) บางคนตื่นนอนแต่เช้ามืดมาออกกำลังกาย ทำอาหารเช้ากินเอง อาบน้ำแต่งตัวเดินทางไปทำงานก่อนรถจะติด (ถึงที่ทำงานก่อน 7 โมงเช้าสำหรับกรุงเทพมหานคร) ระหว่างเดินทางฟัง Podcast (ฟังเพลงกับ Podcast ก็ใช้เวลาเท่ากัน ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ดีกว่า) ไปถึงเริ่มอ่านอีเมล และคิดงานที่ต้องใช้สมองตอนเช้า หลีกเลี่ยงการประชุม พอตอนบ่ายเริ่มประชุมและเริ่มเคลียร์งานอื่น ๆ ก่อนเลิกงานเช็ค List ของงานที่เสร็จในวันนี้ และเริ่ม List […]

Robowealth Work EP. 2 ชวนคุยเรื่องของกระแสของการ Productive ที่มาแรงมากๆ ก่อนหน้านี้ ว่าเป็นมายังไง

ต้องบอกตามตรงว่า คนทำงานยุคนี้เป็นยุคของการแข่งขันที่สูงและมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ใครๆ ก็จำเป็นต้องแข่งขันเพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่ทันคนอื่นเขา ทำใ้ห้ต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา แต่คนเราดันมีเวลาจำกัดกันคนละ 24 ชม.เท่านั้น เลยกลายเป็นแนวคิดที่ว่า เวลาทุกนาทีมีค่า ต้องใช้อย่างคุ้มค่า ต้อง Productive ตั้งแต่ตื่นนอนยันนอน

ขอยกตัวอย่างไอเดียของคนที่ Productive มาก ๆ

(ช่วงนี้ Work From Home ก็อาจจะเปลี่ยนบ้างตอนเดินทางเป็นทำงาน แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดต้องใช้เวลาให้เกิดคุณค่าสูงสุด)

บางคนตื่นนอนแต่เช้ามืดมาออกกำลังกาย ทำอาหารเช้ากินเอง อาบน้ำแต่งตัวเดินทางไปทำงานก่อนรถจะติด (ถึงที่ทำงานก่อน 7 โมงเช้าสำหรับกรุงเทพมหานคร) ระหว่างเดินทางฟัง Podcast (ฟังเพลงกับ Podcast ก็ใช้เวลาเท่ากัน ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ดีกว่า) ไปถึงเริ่มอ่านอีเมล และคิดงานที่ต้องใช้สมองตอนเช้า หลีกเลี่ยงการประชุม พอตอนบ่ายเริ่มประชุมและเริ่มเคลียร์งานอื่น ๆ ก่อนเลิกงานเช็ค List ของงานที่เสร็จในวันนี้ และเริ่ม List งานที่จะต้องทำพรุ่งนี้ หลังจากนั้นพอเลิกงาน (เลิกเวลาไหนแล้วแต่บริษัท) ก็จะเห็นหลาย ๆ คน ไปเรียนเพิ่ม ทั้งเรียนโทหรือเรียนคอร์สออนไลน์ บางคนก็ทำงานพิเศษเพิ่ม

เสาร์อาทิตย์ หลายคนก็ยังทำงาน อาจจะทั้งทำงานเพิ่ม เรียนเพิ่ม คิดธุรกิจเพิ่ม อะไรก็ได้ที่ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดในการพัฒนาตัวเอง ถ้าเราหยุดพักเท่ากับเราถอยหลังแล้ว เพราะคนอื่นกำลังเดินหน้าแซงเรา

ด้วยแนวคิดนี้ ทำให้คนจำนวนมากไม่กล้าที่จะหยุดพัก เพราะเมื่อหยุดพักจะรู้สึกผิดทันที

รู้สึกผิดที่ตัวเองไม่ Productive

หลายคนทำงานเจ็ดวัน บางคนทำงานเกือบจะตลอดเวลา เสาร์อาทิตย์ก็ยังคิดถึงเรื่องงาน เวลาพักหรือเลิกงานก็ยังคิดเรื่องงาน เพียงเพราะว่า รู้สึกผิดที่ตัวเองไม่ Productive

ทั้งที่ความจริงแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะหยุดพัก

หยุดพักแบบพักจริง ๆ โดยไม่ต้องทำหรือคิดอะไรที่เกี่ยวกับงานหรือการพัฒนาตัวเองเลย

เพราะการหยุดพัก เป็นหนึ่งในวิธีที่ Productive ที่สุด

เมื่อในเวลางาน เราก็ใช้ทำงานอย่างเต็มที่

แล้วทำไม เวลาที่เป็นเวลาพัก เราถึงไม่กล้าใช้มันอย่างเต็มที่ล่ะ

สมองรวมทั้งร่างกายของคนเรามีทั้งเวลาที่ทำงานได้เต็มที่และมีทั้งเวลาที่ล้า ดังนั้น เราฝืนลิมิตบ่อยๆ ไม่ให้มันได้พักบ่อยๆ มันจะล้าถึงขีดสุด คนที่ทำงานเจ็ดวันมาตลอด ยิ่งทำติดต่อกันโดยไม่ยอมพักไม่ยอมหยุดคิดเรื่องงานเลยสักวัน จะเกิดอาการล้าสะสม ประสิทธิภาพทั้งสมองและร่างกายจะค่อย ๆ ลดลงตามธรรมชาติ แล้วตามมาด้วยการ Burn Out

ซึ่งพอ Burn Out แล้ว การจะแก้อาการนี้ให้กลับมาอีกทีนี่ยากกว่ามาก

แต่ถ้าได้หยุดพักจริงๆ เพียงแค่ 1 วันต่อสัปดาห์ จะเป็นเหมือนจะชาร์จแบตทั้งสมองและร่างกาย ปริมาณงานและคุณภาพของงานของการที่ทำ 7 วันติดต่อกัน อาจจะเท่ากับการทำงาน 5-6 วันแล้วหยุดพัก 1-2 วัน ซึ่งส่วนมากทำงาน 5-6 วัน มักจะได้งานที่ดีกว่าด้วย (ส่วนจะทำงานกี่วัน พักกี่วันอันนี้แล้วแต่คน)

เหมือนการลดน้ำหนักที่ต้องมี Cheat Day เป็นการป้องกันไม่ให้เราท้อ ล้า จนล้ม ละ เลิกไปซะก่อน

เหมือนการการเก็บเงิน เราก็ต้องกันส่วนหนึ่งออกมาใช้เพื่อความสนุกสุรุ่ยสุร่าย เพื่อป้องกันไม่ให้เรากดดันแล้วใจแตกไปซะก่อน

การทำงานก็เช่นกัน เราก็ต้องมีวันพักสมองจากเรื่องทั้งหมด ไม่ต้องคิดเรื่องงาน หรือการพัฒนาตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เรา Burn Out แล้วเลิกไปซะก่อน

อีกอย่างก็คือ ชีวิตเราไม่ได้มีมิติของการทำงานอย่างเดียว เรายังต้อง “ใช้ชีวิต” ไปพร้อมๆ กับการ Productive ด้วย เรายังมีครอบครัว คนรัก สัตว์เลี้ยง เพื่อน ๆ การท่องเที่ยว งานอดิเรกของแต่ละคนอีกมากมาย ที่ต้องการเวลาของคุณเช่นกัน

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรู้สึกผิดที่จะไม่ Productive

เพราะการไม่ Productive สักวัน

คืออะไรที่ Productive ที่สุดแล้ว

อ่านเรื่องการทำงานอื่นๆ ได้ที่ #RobowealthWork

#Robowealth